ทำความรู้จักกับ ฟุตบอล ซีเกมส์ อีกหนึ่งเหรียญความหวังแข้งไทย
ทำความรู้จักกับ ฟุตบอล ซีเกมส์ อีกหนึ่งเหรียญความหวังแข้งไทย
ถ้าใครยังจำช่วงเวลาที่ทีมช้างศึกไทย ไม่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอล ซีเกมส์ 2019 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ได้ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่แฟนบอลชาวไทยโกรธกับผลงานของทีมชาติไทยชุด ยู – 23 เนื่องจากเป็นการตกรอบครั้งแรก ในช่วงเวลา 8 ปี วันนี้เราจะพาคุณไปย้อนร้อย วิเคราะห์เหตุผลว่าสาเหตุที่ไม่ผ่านเข้ารอบชิงฯนั้น เกิดจากการแพ้ภัยศัตรู หรือ แพ้ภัยตัวเอง อีกทั้งยังจะมีเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับ กีฬา ซีเกมส์ มาฝากกันด้วย
ฟุตบอล ซีเกมส์ บททดสอบทีมช้างศึกชุดยู – 23
การแข่งขัน ซีเกมส์ South-East Asian Games หรือ SEA Games เป็นการแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประเทศที่เป็นสมาชิก ที่เข้าร่วมการแข่งขัน 11 ประเทศได้แก่ กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, สิงคโปร์, ไทย, เวียดนาม, บรูไน, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และติมอร์เลสเต โดยจะจัดการแข่งขันขึ้นทุก ๆ 2 ปี โดยในอดีตใช้ชื่อว่ากีฬาแหลมทอง ( SEAP Games ) และพึ่งมาเปลี่ยนชื่อเป็นกีฬาซีเกมส์ในปี พ.ศ. 2520
สำหรับการจัดแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งล่าสุดคือ ซีเกมส์ 2019 เป็นการจัดการแข่งขันกีฬาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งที่ 30 โดยมีประเทศฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพ สำหรับการแข่งขันซีเกมส์ในครั้งถัดไป หรือ ซีเกมส์ 2021 จะจัดที่ฮานอย ประเทศเวียดนาม
การแข่งขันกีฬาซีเกมส์มีความพิเศษ อยู่ตรงที่ เจ้าภาพจัดการแข่งขันมีสิทธิ์ในการกำหนด เพิ่มหรือลดชนิดของกีฬาที่ใช้ในการแข่งขันเองได้ สำหรับการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2019 มีกีฬาทั้งหมด 59 ชนิด สำหรับกีฬา ฟุตบอล ก็เป็นหนึ่งในกีฬาที่ทีมชาติไทยลงแข่งขัน โดย ฟุตบอล ถูกบรรจุให้อยู่ในกีฬาซีเกมส์มาตั้งแต่ปี 1959 ส่วนฟุตบอลหญิงถูกบรรจุเข้าครั้งแรกในปี 1985 โดยมีข้อกำหนดให้ใช้ทีมผู้เล่นทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ( U-23 ) ในการลงเตะ ฟุตบอล ซีเกมส์
น่าเสียดายที่การแข่งขัน ฟุตบอล ซีเกมส์ 2019 เป็นการตกรอบ ไม่ได้ผ่านไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ โดยถือเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีของทีมชาติไทยที่ไม่ได้เข้าชิง ถึงแม้ว่าที่ผ่านมา จะมีสถิติที่สวยงาม เป็นทีมที่ชนะได้เหรียญทองฟุตบอลซีเกมส์สูงสุดในกลุ่มประเทศทั้ง 11 ประเทศ โดยทำเหรียญทองจากกีฬาฟุตบอลไปได้ทั้งสิ้น 16 เหรียญทอง แต่การเสมอกับเวียดนามก็เป็นการดับฝันทีมช้างศึกให้ไปไม่ถึงเหรียญทองในกีฬา ซีเกมส์ ครั้งนี้
กติกา ฟุตบอล ซีเกมส์
สำหรับกติกาการแข่งขัน ฟุตบอล ซีเกมส์ นั้น ในรอบแรกมีการแบ่งกลุ่มกันคือกลุ่ม A มีทั้งหมด 5 ทีม และกลุ่ม B มี 6 ทีม โดยทำการแข่งขันแบบพบกันทั้งหมด ทีมที่คะแนนดีที่สุด 2 อันดับแรกจากรอบแรก จะผ่านเข้ารอบต่อไป ในกรณีที่คะแนนเท่ากันจะดูผลต่างประตูได้เสีย เมื่อผ่านเข้าสู่รอบชิงเหรียญทองแดง ถ้าเสมอในเวลาปกติให้ตัดสินการด้วยการยิงจุดโทษทันทีแต่สำหรับรอบชิงชนะเลิศ หากเสมอในเวลาปกติจะต่อเวลาพิเศษครึ่งละ 15 นาทีในกรณีที่ยังหาผู้ชนะไม่ได้จะใช้วิธีการยิงจุดโทษ เพื่อเป็นการตัดสินหาผู้ชนะในที่สุด
ในส่วนของการนับคะแนนบอล ซีเกมส์ นั้น ใช้หลักการเดียวกับการแข่ง ฟุตบอล แบบสากล คือ ทีมที่แข่งขันชนะนั้น จะได้ 3 คะแนน กรณีเสมอจะได้ทีมละ 1 คะแนน และถ้าหากแพ้ก็จะไม่ได้คะแนนเลย
สำหรับเส้นทางในรอบแบ่งกลุ่มของทีมช้างศึกนั้น จับสลากอยู่ในกลุ่ม B ร่วมกับทีม เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ลาว และบรูไน โดยมีคะแนนเป็นอันดับที่ 3 แข่ง 5 ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 1 มี 10 คะแนน ประตูได้เสียบวก 10 และตกรอบ ฟุตบอล ซีเกมส์ ครั้งแรกในรอบ 8 ปี
เส้นทางไม่ได้ยากเกินไป แต่เพราะอะไรจึงไปไม่ถึงฝันใน ฟุตบอล ซีเกมส์
ถ้าหากวิเคราะห์กันจริง ๆ แล้ว จะเห็นได้ว่าหนทางในการไต่เต้าเข้าสู่รอบถัดไป ฟุตบอล ซีเกมส์ นั้น ไม่น่าจะไกลเกินเอื้อม ซึ่งทีมที่แข็งสุดในกลุ่ม B คือ เวียดนาม ไทยเราก็มีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ทีมไทยน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เพราะจริง ๆ แล้วในนัดที่ทำให้เราต้องตกรอบนั้น เราเป็นฝ่ายขึ้นนำเวียดนามก่อนเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายกลับแพ้ และตกรอบไปแบบน่ากังขา
ถึงแม้ทางโค้ชนิชิโนะ จะยืดอกขอรับผิดแต่เพียงผุ้เดียว แต่ก็ได้มีการจุดประเด็นเรื่องความพร้อม ความมุ่งมั่น ของนักเตะชุดนี้เอาไว้ โดยเจ้าตัวก็ออกปากเองว่า นักเตะของเรายังมีจุดที่ต้องพัฒนาขึ้นไป เพื่อยกระดับตัวเองไปมากกว่านี้ ซึ่งสามารถสรุปประเด็นออกมาได้ดังนี้
- ความมุ่งมั่นของนักเตะชุดนี้ ถึงแม้จะเป็นนักเตะดาวรุ่ง แต่ในเรื่องของจจิตใจ ความนิ่ง การมีวินัย ฯลฯ ยังจำเป็นต้องฝึกฝนกันต่อไป เพราะว่าการแข่งเกมยาก ๆ บางครั้งฝีเท้าไม่ใช่คำตอบเพียงอย่างเดียว สไตล์การเล่นแบบเอาตัวเองคนเดียว เป็นสิ่งที่ต้องประบปรุงให้ได้
- การรวมตัวที่น้อยเกินไป เป็นอันรู้กันอยู่แล้วว่าในช่วงของการปิดพักลีกอาชีพ นักบอลทุกคนก็อยากหยุดพัก แต่เมื่อถูกเรียกให้มารับใช้ชาติ จึงทำให้ไม่มีเวลาได้พักร่างกาย รวมไปถึงไม่มีเวลาได้ฝึกซ้อมร่วมกันมากเท่าที่ควรอีกด้วย
- โปรแกรมการแข่งขันที่ไม่เป็นสากล ไม่แน่ใจว่าเป็นความตั้งใจของทางเจ้าภาพ หรือเป็นแค่เหตุบังเอิญที่โปรแกรมการแข่งขันของทีมชาติไทย อยู่ที่เวลาบ่ายสามโมงทุกนัด รวมทั้งแข่งแบบวันเว้นวันอีกด้วย
- สภาพร่างกายของนักเตะ การกรำศึกมาตลอดทั้งปี ทำให้นักกีฬาควรได้เวลาพักมากกว่าได้เวลาแข่งเพิ่ม และการเสีย เอกนิษฐ์ ปัญญา ตั้งแต่ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนท์ คือผลกระทบต่อเกมรุกตลอดทั้งทัวร์นาเมนท์
- เสียศูนย์จากการแพ้นัดแรก เนื่องจากไม่สามารถเอาชนะอินโดได้ในนัดแรก จึงทำให้อีก 4 นัดที่เหลือต้องมีสกอร์ชนะอย่างเดียวเท่านั้น เป็นการเพิ่มความกดดันกับทีมให้มากขึ้นไปอีก
- โค้ชเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง จึงยังไม่สามารถหล่อหลอมทีมได้ รวมทั้งยังอ่านนักเตะแต่ละคนไม่ออกว่า ใครถนัดอะไร ควรจัดทีมแบบไหนให้มีโอกาสมากขึ้น ในทางกลับกันนักเตะก็ยังไม่สามารถเล่นตามเกมที่โค้ชสั่งได้ จึงส่งผลให้ไม่สามารถแก้เกมได้
ในภาพรวมของปัญหาที่วิเคราะห์กันออกมานั้น พบว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากภายในของทีมไทยมากกว่า ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว และก็เรื้อรังมาจนถึงตอนนี้ ถ้าทีมชาติไทยต้องการข้ามผ่านอุปสรรค และความยากลำบากต่าง ๆ เพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุด จำเป็นต้องรื้อปัญหาใต้พรมขึ้นมา แล้วปรับโฉมวิธีการคุมทีม บริหารทีม ให้เหมาะสม
ผลงาน ฟุตบอล ไทย ทีมชุดใหญ่ “รวมดาว”
ทีมชาติไทยชุดใหญ่ในยุคปัจจุบัน ถึงแม้จะมีนัก ฟุตบอล ไปค้าแข้งที่ต่างประเทศมากมาย แต่ผลงานในช่วงหลัง ๆ ของช้างศึกกลับทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยการจัดอันดับโลกโดยฟีฟ่า เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ปัจจุบันทีมชาติไทยอยู่อันดับที่ 113 ของโลก, อันดับที่ 20 ของเอเชีย และอันดับที่ 2 ของอาเซียน จากการจัดอันดับโดยฟีฟ่า ซึ่งเราเคยทำอันดับได้ดีที่สุด คือ อันดับที่ 42 ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2541
เห็นได้ว่าอันดับตกลงมาเรื่อย ๆ ไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งสิ่งที่เป็นตัวชี้วัดว่านักเตะทีมชาติไทย ยังอยู่ในจุดที่ไม่นิ่ง คือการเปลี่ยนโค้ชหลายคนในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ละคนเข้ามาเพียงแค่ 1 – 2 ปีเท่านั้น อยู่ได้ไม่ยาว ซึ่งจะส่งผลทั้งในเรื่องของการทำทีม การปรับพื้นฐานของตัวนักเตะเอง ความอึด เทคนิค รวมไปถึงทัศนคติของนักเตะเองด้วย
สำหรับคุณที่เคยสงสัยว่าวงการ ฟุตบอล จะไปต่ออย่างไรนั้น ก็ยังคงเป็นคำถามที่ต้องรอคำตอบกันต่อไป เพราะดูเหมือนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักเตะไทย เมื่อตอนไปแข่งกีฬา ซีเกมส์ นั้น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกมานานแล้ว การจะแก้ปัญหาของทีมชาติ ฟุตบอล ไทยนั้น นอกจากจะต้องใช้เวลาแล้ว ยังต้องใช้พลังทั้งจากภายนอกและภายในร่วมกันผลักดัน เพื่อก้าวข้ามจุดที่เราย่ำอยู่ที่เดิมให้ได้